Cloud ฉบับเริ่มต้น
สมัยนี้อะไร ๆ ก็อยู่บน Cloud ไปหมด ทำเอกสารก็ทำกันบน Cloud ส่งไฟล์ให้เพื่อนก็โยนขึ้น Cloud ขนาดถ่ายรูปด้วยมือถือก็ยังเซฟบน Cloud ได้ เรียกว่า Thump Drive ตกยุคไปแบบไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว
วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่อง Cloud ให้ฟัง ว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ แล้วเพราะอะไรถึงได้ฮิตกันนัก
Cloud อ่านว่าคลาวด์ แปลว่าก้อนเมฆ
ในทาง IT เราเอามาใช้อธิบายการให้บริการที่ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายเรื่องระบบ IT ไม่ต้องรู้ว่าโครงสร้างพื้นฐานของระบบมันเป็นอย่างไร ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ หรือแม้แต่ซอฟท์แวร์มาติดตั้ง เรียกว่าใช้งานกันอย่างเดียวเลยบริการของ Cloud
มีอยู่หลายระดับ ยกตัวอย่างที่ไกล้ตัวก็เช่น- DropBox, GoogleDrive, iCloud หรือบรรดาที่เก็บไฟล์ทั้งหลาย พวกนี้อยู่ในกลุ่มของบริการ Infrastructure as a Service (IaaS) ซึ่งก็คือการให้บริการที่ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ อย่างกรณีนี้คือเราไม่ต้องไปซื้อ Thumb Drive ก็สามารถมีที่เก็บไฟล์ ส่งไฟล์ให้เพื่อนได้ แถมง่ายกว่าเดิมอีก
- Google Docs ที่ช่วยให้เราไม่ต้องมี MS Office ในเครื่องเลย แต่สามารถสร้างหรือแก้ไขไฟล์ได้บน Web Browser แถมยังทำไปพร้อมกันกับเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วยโดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน บริการแบบนี้เรียกว่าเป็น Software as a Service (SaaS) ซึ่งก็คือการให้บริการทั้งซอฟท์แวร์ไปเลย ผู้ใช้งานไม่ต้องไปหามาติดตั้งในเครื่องตัวเองอีก
- บริการอีกระดับหนื่งเรียกว่า Platform as a Service (PaaS) ซึ่งอาจจะนึกภาพอยากหน่อย มันเป็นบริการที่อยู่ระหว่าง IaaS และ SaaS คือก็ไม่ได้สำเร็จรูปแบบ SaaS แต่ก็ไม่ได้มีเฉพาะเครื่องมืออุปกรณ์แบบ IaaS เครื่องมืออย่าง WordPress สำหรับสร้าง Web Site เป็นตัวอย่างบริการที่อยู่ในกลุ่มนี้
นอกจากนี้ก็ยังมีอะไรที่ลงท้ายด้วย aaS อีกหลายตัว ผู้ให้บริการแต่ละเจ้าก็แข่งกันคิดค้นบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ
แล้วอะไรที่ทำให้ Cloud เป็น Trend ที่ทุกคนเลี่ยงไม่ได้
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดของ Cloud ในระดับองค์กรณ์คือการที่บริษัทไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเซอเวอร์ หรือลงทุนสร้าง Data Center ของตนเอง การใช้บริการบน Cloud จะเป็นการเช่าใช้ จะเสียค่าเช่ามากหรือน้อยก็แล้วแต่ปริมาณการใช้งานมีคำอยู่ 4 คำที่มักจะพูดถึงเมื่อพิจารณาประโยชน์ของ Cloud
- Scalability คือความสามารถในการขยายประสิทธิภาพการทำงานของระบบ เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้ มีสองลักษณะคือ
- การเพิ่มความของเครื่องเซอร์เวอร์ เช่น เพิ่ม CPU, RAM เรียกว่าเป็นการ Scale Up
- การเพิ่มเครื่องเซอร์เวอร์ใหม่อีกเครื่องเพื่อช่วยกันทำงาน เรียกว่า Scale Out
- Elasticity เป็นความสามารถต่อเนื่องจาก Scalability นั่นคือการทำให้ระบบสามารถปรับตัวได้ตาม Load งาน เช่น ระบบจองตั๋วจะทำงานพีคมากเมื่อเปิดจองบัตรคอนเสิร์ต ตัวระบบก็จะเพิ่มเซอร์เวอร์เพื่อมารับ Load งาน แล้วเมื่อพ้นช่วงขายบัตรแล้ว ก็จะลดจำนวนเซอร์เวอร์ลง ทำให้ผู้ใช้บริการจ่ายค่าเช่าเท่าที่จำเป็น
- High Availability ระบบสามารถให้บริการได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะการณ์ใหน และผู้ใช้สามารถใช้บริการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
- Fault Tolerance ระบบจะไม่มีวันล่ม โดยถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งมีปัญหาหา ระบบก็จะสร้างเครื่องใหม่ให้ผู้ใช้งานไปใช้เครื่องนั้นแทน
ส่วนผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเรา ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดก็คือ High Availability ที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ทั้งจากเครื่องคอมฯ มือถือ หรือ Device อื่น ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลานั่นเอง