Monday, June 3, 2019

Cloud ฉบับเริ่มต้น


สมัยนี้อะไร ๆ ก็อยู่บน Cloud ไปหมด ทำเอกสารก็ทำกันบน Cloud ส่งไฟล์ให้เพื่อนก็โยนขึ้น Cloud ขนาดถ่ายรูปด้วยมือถือก็ยังเซฟบน Cloud ได้ เรียกว่า Thump Drive ตกยุคไปแบบไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว

วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่อง Cloud ให้ฟัง ว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ แล้วเพราะอะไรถึงได้ฮิตกันนัก


Cloud อ่านว่าคลาวด์ แปลว่าก้อนเมฆ 

ในทาง IT เราเอามาใช้อธิบายการให้บริการที่ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายเรื่องระบบ IT ไม่ต้องรู้ว่าโครงสร้างพื้นฐานของระบบมันเป็นอย่างไร ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ หรือแม้แต่ซอฟท์แวร์มาติดตั้ง เรียกว่าใช้งานกันอย่างเดียวเลย


บริการของ Cloud 

มีอยู่หลายระดับ ยกตัวอย่างที่ไกล้ตัวก็เช่น

  • DropBox, GoogleDrive, iCloud หรือบรรดาที่เก็บไฟล์ทั้งหลาย พวกนี้อยู่ในกลุ่มของบริการ Infrastructure as a Service (IaaS) ซึ่งก็คือการให้บริการที่ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ อย่างกรณีนี้คือเราไม่ต้องไปซื้อ Thumb Drive ก็สามารถมีที่เก็บไฟล์ ส่งไฟล์ให้เพื่อนได้ แถมง่ายกว่าเดิมอีก

  • Google Docs ที่ช่วยให้เราไม่ต้องมี MS Office ในเครื่องเลย แต่สามารถสร้างหรือแก้ไขไฟล์ได้บน Web Browser แถมยังทำไปพร้อมกันกับเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วยโดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน บริการแบบนี้เรียกว่าเป็น Software as a Service (SaaS) ซึ่งก็คือการให้บริการทั้งซอฟท์แวร์ไปเลย ผู้ใช้งานไม่ต้องไปหามาติดตั้งในเครื่องตัวเองอีก


  • บริการอีกระดับหนื่งเรียกว่า Platform as a Service (PaaS) ซึ่งอาจจะนึกภาพอยากหน่อย มันเป็นบริการที่อยู่ระหว่าง IaaS และ SaaS คือก็ไม่ได้สำเร็จรูปแบบ SaaS แต่ก็ไม่ได้มีเฉพาะเครื่องมืออุปกรณ์แบบ IaaS เครื่องมืออย่าง WordPress สำหรับสร้าง Web Site เป็นตัวอย่างบริการที่อยู่ในกลุ่มนี้

นอกจากนี้ก็ยังมีอะไรที่ลงท้ายด้วย aaS อีกหลายตัว ผู้ให้บริการแต่ละเจ้าก็แข่งกันคิดค้นบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ

แล้วอะไรที่ทำให้ Cloud เป็น Trend ที่ทุกคนเลี่ยงไม่ได้

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดของ Cloud ในระดับองค์กรณ์คือการที่บริษัทไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเซอเวอร์ หรือลงทุนสร้าง Data Center ของตนเอง การใช้บริการบน Cloud จะเป็นการเช่าใช้ จะเสียค่าเช่ามากหรือน้อยก็แล้วแต่ปริมาณการใช้งาน 

มีคำอยู่ 4 คำที่มักจะพูดถึงเมื่อพิจารณาประโยชน์ของ Cloud 

  1. Scalability คือความสามารถในการขยายประสิทธิภาพการทำงานของระบบ เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้ มีสองลักษณะคือ
    • การเพิ่มความของเครื่องเซอร์เวอร์ เช่น เพิ่ม CPU, RAM เรียกว่าเป็นการ Scale Up
    • การเพิ่มเครื่องเซอร์เวอร์ใหม่อีกเครื่องเพื่อช่วยกันทำงาน เรียกว่า Scale Out
  2. Elasticity เป็นความสามารถต่อเนื่องจาก Scalability นั่นคือการทำให้ระบบสามารถปรับตัวได้ตาม Load งาน เช่น ระบบจองตั๋วจะทำงานพีคมากเมื่อเปิดจองบัตรคอนเสิร์ต ตัวระบบก็จะเพิ่มเซอร์เวอร์เพื่อมารับ Load งาน แล้วเมื่อพ้นช่วงขายบัตรแล้ว ก็จะลดจำนวนเซอร์เวอร์ลง ทำให้ผู้ใช้บริการจ่ายค่าเช่าเท่าที่จำเป็น
  3. High Availability ระบบสามารถให้บริการได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะการณ์ใหน และผู้ใช้สามารถใช้บริการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
  4. Fault Tolerance ระบบจะไม่มีวันล่ม โดยถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งมีปัญหาหา ระบบก็จะสร้างเครื่องใหม่ให้ผู้ใช้งานไปใช้เครื่องนั้นแทน
จะเห็นได้ว่าในระบบขนาดใหญ่ที่ต้องการเสถียรภาพการทำงานสูง ต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก การทำให้ 4 ข้อนี้เป็นจริงได้จะต้องลงทุนอย่างสูงทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน และรวมถึงคน แต่การใช้บริการ Cloud จะเป็นการโอนสิ่งเหล่านี้ไปให้ผู้บริการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจัดการงานด้านนี้ไป ส่วนบริษัทก็เน้นทำธุรกิจที่ตนเองถนัด

ส่วนผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเรา ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดก็คือ High Availability ที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ทั้งจากเครื่องคอมฯ มือถือ หรือ Device อื่น ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลานั่นเอง